พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร |
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญสำหรับเมืองสยามนั้น ในยุคสมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ นอกจากหลักเมืองที่เป็นปฐมเทพารักษ์ดูแลประเทศแล้ว บรรดาเทพและพระพุทธรูปสำคัญสำหรับแผ่นดินประจำสมัยนั้นมีแตกต่างกัน ดังจะเห็นได้จากสมัยกรุงสุโขทัยมีพระแม่ย่า กรุงศรีอยุธยามีพระศรีสรรเพชญ์ เป็นต้น
สำหรับกรุงรัตนโกสินทร์ นอกจากจะมี หลักเมือง ตามพระราชพิธีสร้างเมืองอย่างโบราณแล้วยัง พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “พระแก้วมรกต” ซึ่งตำนานการสร้างนั้น เล่าสืบต่อมาว่า เป็นพระพุทธรูปที่เทพยดาสร้าง
พระพุทธปฏิมากรแก้วมรกตพระองค์นี้ มีเรื่องในหนังสือตำนานโบราณแต่งเป็นภาษามคธไว้ เรียกชื่อว่า “รัตนพิมพวงศ์” เล่าเรื่องเดิมของพระพุทธรูปแก้วพระองค์นี้สืบมา มีใจความในเบื้องต้นว่า พระมหามณีรัตนปฏิมากรองค์นี้เทวดาสร้างถวายพระอรหันต์องค์หนึ่ง มีนามว่า พระนาคเสนเถระ ในเมืองปาฏลิบุตร จึงพระนาคเสนเถระเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ อันมีฤทธิ์สำเร็จด้วยอภิญญา ได้อธิษฐานอาราธนาพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระพุทธเจ้า ให้ประดิษฐานอยู่ในองค์พระมหามณีรัตนปฏิมากรถึง 7 พระองค์ คือในพระโมลีพระองค์ 1 ในพระนลาฏพระองค์ 1 ในพระอุระพระองค์ 1 ในพระอังสาทั้ง 2 ข้าง 2 พระองค์ ในพระชานุทั้ง 2 ข้าง 2 พระองค์ เป็น 7 พระองค์ เนื้อแก้วก็ปิดสนิทติดเป็นเนื้อเดียวดังเดิมไม่มีแผลมีช่อง แลเห็นตลอดเข้าไปเลย พระมหามณีรัตนปฏิมากรอยู่เมืองปาฏลิบุตร แล้วตกไปเมืองลังกาทวีป แล้วตกมาเมืองกัมโพชา เมืองศรีอยุธยา เมืองละโว้ เมืองกำแพงเพชร แล้วภายหลังตกไปอยู่เมืองเชียงราย เจ้าเมืองเชียงรายหวังจะซ่อนแก่ศัตรู จึงเอาปูนทาลงรักปิดทองบรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่เมืองเชียงรายนั้น
ส่วนที่พระพุทธรูปองค์นี้ได้ถูกอัญเชิญเข้ามาไว้เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองสยามนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์สำหรับประกาศให้ทราบเมื่อ พ.ศ. 2397 มีความที่น่าสนใจ ดังนี้
วิหารที่เคยเป็นที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกคต ที่จังหวัดเชียงราย |
เมื่อพุทธศักราช 1979 ปีคริสต์ศักราช 1436 พระแก้วมรกตองค์นี้สถิตอยู่ในพระสถูปองค์หนึ่งในบรรดาพระสถูปเก้าองค์ ณ เมืองเชียงราย ครั้นพระสถูปเจดีย์นั้นต้องอสนีบาตพังลงแล้ว ชาวเมืองเชียงรายได้เห็นเป็นองค์พระพุทธรูปปิดทองคำทึบทั่วทั้งองค์ ก็สำคัญว่าพระพุทธรูปศิลาสามัญ จึงเชิญไปไว้ในวิหารที่ไว้พระพุทธรูปในวัดแห่งหนึ่ง อีก 2 – 3 เดือนต่อมา ปูนที่ลงรักปิดทองหุ้มทั่วพระองค์นั้นกะเทาะออกที่ปลายพระนาสิก เจ้าอธิการในอารามนั้นได้เห็นเป็นสีเขียวงาม จึงแกะต่อไปอีกทั้งพระองค์ คนทั้งปวงจึงได้เห็นและทราบความว่า เป็นพระพุทธรูปแก้วแท่งทึบทั้งแท่งบริสุทธิ์ดีไม่บุบสลาย คนชาวเชียงรายและเมืองลาวอื่น ๆ ก็ตื่นกันไปบูชานมัสการมากมาย ท้างเพี้ยผู้รักษาเมืองจึงได้มีใบบอกลงมาไปถึงเจ้าเมืองเชียงใหม่ เจ้าเมืองเชียงใหม่เกณฑ์กระบวนช้างแห่รับเสด็จพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมาโดยหลังช้าง ครั้นมาถึงทางแยกซึ่งจะไปเมืองนครลำปาง ช้างที่รับเสด็จพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมา ก็วิ่งตื่นไปทางเมืองนครลำปาง เมื่อหมด เมื่อหมอควาญปลอบประโลมช้างให้สงบแล้วพามาถึงทางที่จะไปเมืองเชียงใหม่ ช้างก็ตื่นไปทางเมืองลำปางอีก จนภายหลังเมื่อเอาช้างเชื่อมรับเสด็จพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้ว ช้างนั้นเมื่อมาถึงที่นั้นก็ตื่นคืนไปทางเมืองนครลำปางอีก ด้วยเหตุนั้นท้าเพี้ยผู้ไปรับก็ได้มีใบบอกไปถึงเจ้าเมืองเชียงใหม่ ครั้งนั้น เจ้าเมืองเชียงใหม่นับถือผีสางมากนัก จึงวิตกว่าชะรอยผีรักษาพระองค์พระจะไม่ยอมมาเมืองเชียงใหม่ จึงยอมให้เชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วนั้นไปประดิษฐานไว้ในเมืองนครลำปาง คนทั้งปวงจึงได้เชิญไปไว้ในวัดที่คนเป็นอันมากมีศรัทธาสร้างถวายในเมืองนครลำปางนานถึง 32 ปี
วิหารที่เคยประดิษฐานพระแก้วมรกต ที่เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว |
ครั้นจุลศักราช 830 พระพุทธศักราช 2011 ปีชวด สัมฤทธิศก เจ้าเชียงใหม่องค์อื่นได้แผ่นดินเชียงใหม่แล้ว ดำริว่าเจ้าเมืองเชียงใหม่องค์ก่อน ๆ ยอมให้พระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากรแก้วไปประดิษฐานอยู่เมืองนครลำปางนั้น ไม่ควรเลย ควรจะไปอาราธนามาไว้ในเมืองเชียงใหม่ คิดแล้วจึงไปอาราธนาแห่งพระพุทธมหามณรัตนปฏิมากรแก้วมา สร้างพระอารามวิหารถวายแล้วประดิษฐานไว้ในเมืองเชียงใหม่ และเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้พยายามทำวิหารที่ไว้พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วให้เป็นปราสาทมียอดให้สมควร แต่หาสมประสงค์ไม่ อสนิบาตลงต้องทำลายยอดที่ตั้งสร้างขึ้นหลายครั้งจึงได้เชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วไว้ในพระวิหารมีซุ้มจะนำอยู่ในผนังด้านหลังสำหรับเป็นที่ตั้งพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้ว กับทั้งเครื่องประดับอาภรณ์บูชาต่าง ๆ มีบานปิดดังตู้เก็บรักษาไว้ เปิดออกให้คนทั้งปวงนมัสการเป็นคราว ๆ แต่พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วได้ประดิษฐานอยู่ในเมืองเชียงใหม่นานได้ 84 ปี
ครั้นจุลศักราช 913 ปี พระพุทธศาสนากาล 2094 ปี ฉลูศตรีศก เจ้าเชียงใหม่องค์หนึ่งซึ่งครองเมืองครั้งนั้น ชื่อเจ้าไชยเชษฐาธิราช เป็นบุตร พระเจ้าโพธิสาร ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเซ่า คือ เมืองหลวงพระบาง เพราะเหตุที่แต่ก่อนนั้นไป เจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ยกราชธิดาสาวชื่อนางยอดคำ ไปเป็นมเหสีพระเจ้าโพธิสาร จึงมีราชบุตร คือเจ้าไชยเศรษฐ์องค์นี้ เมื่อเจ้าไชยเศรษฐ์มีอายุได้ 15 ปี เจ้าเชียงใหม่ ท้าวเพี้ยกับพระสงฆ์ผู้ใหญ่ทั้งปวงจึงพร้อมกันไปขอเจ้าไชยเศรษฐ์ผู้บุตรใหม่ของพระเจ้าโพธิสารและเป็นนัดดาของเจ้าเชียงใหม่นั้น แถมนามเข้าให้ว่าเจ้าไชยเชษฐาธิราช ครั้นได้เป็นเจ้าเชียงใหม่แล้วไม่นานได้ฟังข่าวว่าพระเจ้าโพธิสารผู้บิดาสิ้นชีพวายชนม์แล้ว เจ้าน้องชายต่างมารดาได้เป็นเจ้าเมืองเซ่า คือเมืองหลวงพระบาง เจ้าเชียงใหม่ไชยเชษฐาธิราช จะใคร่ไปทำบุญในการศพบิดา และจะใคร่ได้ส่วนมรดกด้วย แต่ยังไม่แน่ใจลงว่าจะต้องเป็นเจ้าเมืองเซ่าเสีย ไม่ได้กลับมาเมืองเชียงใหม่ หรือจะต้องกลับมาเมืองเชียงใหม่ เพราะเมืองเซ่ามีเจ้าแล้ว หรือเมื่อไม่อยู่ฝ่ายข้างเมืองเชียงใหม่จะเป็นประการใดถ้าจะกลับมาจะมาได้ก็ไม่แน่ใจลง พะวงหน้าพะวังหลัง จึงได้เชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วนั้นได้ด้วย อ้างว่าจะรับไปทำบุญและให้เจ้านายญาติวงศ์ในเมืองเซ่าหลวงพระบาง ได้บูชาทำบุญด้วยกัน แล้วก็ยกครอบครัวไปหมด เมื่อพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วออกจากเมืองเชียงใหม่ในครั้งนี้ เป็นปีขาลจัตวาศก จุลศักราช 914 พระพุทธศาสนกาล 2095 เจ้าไชยเชษฐาธิราชไปถึงเองเซ่าแล้ว ก็ประนอมพร้อมกับเจ้าน้อง และญาติวงศ์ฝ่ายบิดาเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วขึ้นประดิษฐานไว้ในปราสาทแล้วก็ฉลองพระและทำการกุศลส่งบิดาเป็นอันมาก แล้วก็ปรึกษาหารือกันตามญาติวงศ์พี้องด้วยมรดกคิดแบ่งทรัพย์สินของผู้คนช้างม้าพาหนะ ช้าอยู่ไม่รู้จบลง กาลล่วงไปถึงสามปี
ฝ่ายท้าวเพี้ยผู้รักษาเมืองเชียงใหม่เห็นว่า เจ้าไชยเชษฐาธิราชไปเมืองเซ่าเสียนานแล้วก็ไม่กลับ การงานบ้านเมืองค้างขัดอยู่มาก ถ้ามีข้าศึกศัตรูก็จะไม่มีผู้ชี้การให้สิทธิ์ขาดได้ จึงได้พร้อมกันปรึกษาเลือกหาได้ภิกษุรูปหนึ่ง ชื่อเมกุฎิ เป็นเชื้อวงศ์เจ้าเชียงใหม่ที่ล่วงแล้วมาแต่ก่อนนั้น เวลานั้นมีสติปัญญาสามารถพอสมควร จึงพร้อมกันเชิญเจ้าเมกุฎิให้คืนผนวชออกมา แล้วก็ยอมยกให้เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ภายหลังพวกลาวพุงขาวตีเชียงใหม่ได้ เชิญเอาพระแก้วมรคตไปไว้เมืองเซ่า 12 ปี แล้วเชิญไปไว้ในเมืองเวียงจันทน์นานถึง 215 ปี พุทธศักราชล่วงไป 2321 ปี คริสต์ศักราช 1778 ปี จึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ครั้งยังเป็นที่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ยกทัพไปตีนเวียงจันทน์ ได้ชนะแว่นแคว้นลาว และเชิญเอาพระแก้วมรกตเอามาไว้ในเมืองธนบุรี 3 ปี ได้สร้างกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา บรมราชธานีเสร็จใน 3 ปี
พระแก้วมรกตในเครื่องทรง 3 ฤดู |
ครั้นลุพุทธศักราช 2324 ปี คริสต์ศักราช 1781 ถึงปีที่ 25 เพ็ญเดือน 3 ได้เชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ ณ พระบุษบก ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงสักการะเครื่องบูชาอย่างดี ทำด้วยทองคำประดับด้วยเพชรพลอย และพุทธบริขารเปลี่ยนสามฤดู ล่วงมาสามรอบ พระเจ้าแผ่นดินกรุงสยาม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 27 ปี แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 16 ปี แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 26 ปี เป็น 69 ปี ครั้นปีที่ 70 โดยรัชกาลพุทธศักราช 2394 คริสต์ศักราช 1851 เพ็ญเดือน 6 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศ์ทรงพระนามพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร์มหามกุฎสุทธสมมติเทพพงศ์ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรีได้ทรงปฏิบัติพระแก้วมรกตนั้นโดยเคารพ ดำรัสสั่งให้ช่างเขียน เขียนรูปพระแก้วมรกตทรงเครื่องตามฤดูทั้งสามนั้นลงในแผ่นผ้าใหญ่ พระราชทานให้แก่ชาวต่างประเทศ ซึ่งมีไมตรีจิต แต่มิได้เคยมายังกรุงเทพฯ นี้อยากใคร่เห็นพระแก้วมรกตนั้น อนึ่งโปรดให้เขียเรื่องพระแก้วมรกตแต่เมืองเชียงรายเป็นต้นมานี้โดยภาษามคธจุณณิยบทและคาถา และภาษาไทย ภาษาอังกฤษ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเปลีี่ยนเครื่องทรงประเจำฤดุกาล |
ในการปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม รัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้างพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะหุ้มทองคำเนื้อแปดสององค์ ทรงเครื่องต้นอย่างบรมกษัตริย์ลงยาราชาวดีประดับด้วยเนาวรัตน์ องค์ด้านทิศเหนือจารึกพระนามว่าพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระอัยกาเจ้า องค์ด้านทิศใต้ จารึกพระนามว่า พระพุทธเลิศหล้าสุลาไลย (ภายหลังเปลี่ยนสร้อยพระนามเป็น นภาลัยในรัชกาลนี้) ทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระบรมชนกนาถ พร้อมกับมีพระบรมราชโองการว่า ในราชการทั้งปวงนั้นให้อ้างพระนามตามพระพุทธปฏิมาทั้งสององค์ ไม่ให้ใช้อ้างว่า แผ่นดินต้น แผ่นดินกลาง ดังที่ใช้กันมาแต่เดิม
พระพุทธรูปสำคัญนี้ ได้ประดิษฐานอยู่คู่กรุงรัตนโกสินทร์มาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เป็นพระพุทธรูปสำหรับแผ่นดินสยามโดยแท้จริง และเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่แผ่พระบุญญาบารมีให้ประชาชนชาวไทย ดำรงอิทธิปาฏิหาริย์เช่นเดียวกับพระสยามเทวาธิราช และสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า ผู้ทรงเคารพสักการะพระพุทธรูปสำคัญองค์นี้มาแต่ครั้งยังพระชนม์ชีพอยู่ นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่อยู่คู่แผ่นดินเช่นเดียวกับหลักเมือง