>เรื่องเล่าเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็กและปาน)

          จะเล่าถึงท่านพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)  ผู้เป็นพี่ก่อน และตามด้วยผู้เป็นน้อง (ปาน)         
เจ้าพระาโกษาธิบดี (เหล็ก) หรือเจ้าพระยาโกศาเหล็ก เป็นบุตรของพระนมของสมเด็จพระนารายณ์ซึ่งเรียกกันว่า “เจ้าแม่วัดดุสิต” (บัว)
รูปวาดพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)
          ตามประวัติศาสตร์นั้น เจ้าพระยาโกศาเหล็กเกิดในปี พ.ศ. 2175  เพราะอยู่ในวัยเดียวกับสมเด็จพระนารายณ์ แต่มิทราบนามเดิมและนามบิดาของท่าน  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)  หรือเจ้าพระยาโกศาเหล็กนี้มีน้องชายคนหนึ่ง คือ เจ้าพระโกษาธิบดี (ปาน) ซึ่งก็มีบทบาทสำคัญไม่น้อยในประวัติศาสตร์สมัยแผ่นดินของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ในวิกิพีเดีย  สารานุกรมเสรี กล่าวว่า บิดาของท่านเป็นขุนนางเชื้อสายมอญ และบอกว่า ท่านมีน้องสาวอีกคน ชื่อ แช่ม หรือ ฉ่ำ)
          แม้จะมิใช่เป็นกษัตริย์ยอดนักรบ  ทว่าเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) นี้  ก็นับเป็นวีรบุรุษคนสำคัญอีกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์เช่นกัน  เพราะก่อนหน้าที่สมเด็จพระนารายณ์จะเสด็จขึ้นครองราชย์นั้น ท่านเป็นเสมียนยอดนักรบคู่ใจของสมเด็จพระนารายณ์  ซึ่งเป็นที่เรียกกันทั่วไปว่า “ขุนเหล็ก”
          พ.ศ. 2224  ปีนั้น  พม่าตามพวกมอญเข้ามาในเขตไทย  ขันเหล็กก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาโกษธิบดี (เหล็ก)  ในตำแหน่งแม่ทัพใหญ่นำทัพออกไปรับมือกับพม่า  ซึ่งเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ก็สามารถนำทัพเข้าต่อสู้โรมรันกับพม่าจนแตกพ่ายไปได้ในที่สุด
          พ.ศ. 2225  สมเด็จพระนารายณ์ทรงแต่งตั้งให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ไปรับมือกับศึกพระเจ้าอังวะที่เข้ามาล่วงล้ำรุกรานไทย
          ศึกครั้งนั้นเป็นครั้งใหญ่กำลังพลของแต่ละฝ่ายนับได้ร่วมแสนคน  ซึ่งเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) มิได้เป็นแม่ทัพใหญ่ที่เตรียมการรุกและรับอย่างเดียว  แต่ท่านได้ศึกษาการรบตามหลักพิชัยสงครามอย่างละเอียดรอบคอบ จนทำให้เอาชัยชนะพม่าได้อีกคำรบหนึ่ง
          การเอาชนะพม่าได้ในครั้งนี้  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ได้แสดงปรีชาสามารถในเชิงจิตวิทยา  ครั้งหนึ่งได้แต่งหนังสือเป็นเชิงท้าทายพม่าให้ออกมาสู้รบกันข้างนอกเมืองด้วยเพราะได้ล้อมพม่าไว้เป็นเวลานาน  จนใกล้จะขาดแคลนเสบียงอาหารแล้ว
          ชั้นเชิงในการแต่งหนังสือนั้งทำให้พม่าเสียทีหลงกลไทยเป็นเหตุให้แพ้พ่ายแก่ไทยในที่สุด  เมื่อชนะแล้วก็ยังได้ส่งหนังสือเข้าไปยังเมืออังวะอีก  จนเป็นเหตุให้เมืองอังวะคิดว่าเป็นแลลวงอีกคำรบหนึ่ง  จึงรู้สึกขยาดและครั่นคร้ามต่อกองทัพไทยเป็นยิ่งนัก  หลังจากนั้นก็มิปรากฏว่าอังวะจะกล้ายกทัพออกจากเมืองมารุกรานไทยอีกเป็นเวลานานทีเดียว
          เจ้าพระโกษาธิบดี (เหล็ก) ท่านเป็นแม่ทัพไทยที่มีความช่ำชองในการศึกษา  และมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญสมกับเป็นแม่ทัพใหญ่  ในเชิงพิชัยยุทธ์นั้นท่านมีความเฉลียวฉลาดและลึกซึ้งเป็นยิ่งนัก  จึงกล่าวได้ว่าท่านกรำศึกษาอย่างโชกโชน  คู่ราชบัลลังก์ของสมเด็จพระนารายณ์
          พ.ศ. 2226  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)  ได้เกิดล้มป่วยลงเนื่องจากผ่านการรบทัพจับศึกมาอย่างตรากตรำลำบากเป็นเวลานาน ซึ่งในระหว่างที่ล้มป่วยนั้นสมเด็จพระนารายณ์ทรงให้บรรดาแพทย์หลวงทั้งปวงมาทำการรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด  ด้วยเพราะทรงรักใคร่เป็นห่วงเป็นใยเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เสมือนหนึ่งดั่งพี่น้องแท้ ๆ  ของพระองค์
          แต่ทว่าในที่สุดเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ก็ถึงแก่อสัญกรรมท่ามกลางความโศกเศร้าเสียพระทัยของสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งกล่าวกันว่าทรงหลั่งน้ำพระเนตรด้วยความอาลัยรักในขุนศึกซึ่งเปรียบเป็นเสมือนพระสหายสนิท  และเป็นทั้งพี่น้องที่เห็นกันมาตั้งแต่ยังพระเยาว์ (ในวิกิพีเดีย  สารานุกรมเสรี  กล่าวว่าท่านถึงแก่อสัญกรรม เนื่องจากเมื่อมีการสร้าง ป้อมปราการ จำเป็นต้องมีการเกณฑ์แรงงานในการก่อสร้าง แต่บางคนไม่อยากทำจึงนำเงินไปให้ท่าน และท่านได้กราบบังคมทูลต่อสมเด็จพระนารายณ์ว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างป้อมปราการ ท่านจึงถูกสมเด็จพระนารายณ์สั่งลงทัณฑ์โดยการเฆี่ยนจนถึงอสัญกรรม)
          สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ทรงทำการฌาปนกิจศพเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) อย่างยิ่งใหญ๋สมเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง  และหลังจากนั้นก็ได้ทรงสนับสนุนให้นายปานผู้เป็นน้องชายคนเดียวของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่แทนพี่ชายสืบต่อไป
          ส่วนเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ผู้น้อง  เกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2193  เป็นน้องชายคนเดียวของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ซึ่งทั้งสองนั้นเป็นบุตร “เจ้าแม่ดุสิต” ผู้เป็นพระนมและพระพี่เลี้ยงคอยถวายการอภิบาลดูแลสมเด็จพระนารายณ์ หลังจากที่พระราชมารดาของพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว
          ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เจ้าพระยาโกษาธิบดีทั้งสองพี่น้องมีความสนิทชิดใกล้กับสมเด็จพระนารายณ์มากกว่าในฐานะข้าราชบริพาร แต่หากมีความสนิทมากกว่าระดับพระสหายเพราะเปรียบเสมือนเป็นเช่นพี่น้องกันก็มิปาน
          เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) นั้น  ได้รับการไว้วางพระทัยและการยกย่องจากสมเด็จพระนารายณ์มิใช่น้อย  ดังจะเห็นได้ว่าในคราวที่สมเด็จพระนารายณ์มีพระราชประสงค์จะเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส และปรารถนาที่จะให้ไทยเราได้ไปเห็นความเป็นอยู่ของต่างประเทศว่มีความก้าวหน้าล้ำไปอย่างไรนั้น  สมเด็จพระนารายณ์ก็ได้ทรงเลือกนายปานผู้เป็นน้องชายของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ให้ได้รับเกียรติอันสูงสุดโดยแต่งตั้งเป็นราชทูตไทยเดินทางไปยังฝรั่งเศส  เพื่อถวายพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการต่าง ๆ
          เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) จึงเป็นราชทูตไทยคนแรกของประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ได้เดินทาออกจากแผ่นดินไทยไปสู่แผ่นดินต่างประเทศ
          ซึ่งเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) และคณะราชทูตไทยนั้นได้ลงเรือเดินทางออกจากประเทศไปเมื่อปี พ.ศ. 2228  ซึ่งเป็นการเดินทางไปเยือนต่างประเทศได้สำเร็จเป็นครั้งแรก  ก่อนหน้านั้นไทยเราได้ส่งคณะทูตออกเดินทางสู่ต่างประเทศบ้างแล้ว  แต่ทว่ามิสามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้ เพราะเกิดอุปสรรคเรืออัปปางลงก่อนเสมอ
รูปวาดเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
          เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เดินทางถึงฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2228  โดยได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ณ พระราชวังแวร์ซาย ในเดือนกันยายน  พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ให้การต้องรับคณะทูตไทยอย่างสมเกียรติและได้แลกเปลี่ยนเครื่องราชบรรณาการกันด้วย
          พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นมีความทึ่งและชื่นชมในคณะทูตไทยเป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถฝ่าคลื่นลมมรสุมกลางมหาสมุทรมาสู่ฝรั่งเศสได้อย่างปลอดภัย  เมื่อซักถามถึงวิธีการเอาตัวรอดพ้นจากอันตรายนั้น  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ก็ได้กราบทูลตอบด้วยความเฉลียวฉลาด อันเป็นเหตุให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โปรดปรานและชื่นชมในสติปัญญาแก่เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นยิ่งนัก
          เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ในขณะนั้นยังอยู่ในวัยหนุ่ม จึงนับได้ว่าเป็นราชทูตที่มีความสง่างามทั้งบุคลิกและสติปัญญาอันปรดเปรื่องลึกซึ้ง  อีกทั้งกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อย  เป็นผู้ที่ช่างจำช่างคิดและไตร่ตรองก่อนพูดเสมอ
          ในชั้นเชิงการทูตนั้น กล่าวได้ว่า ท่านมีความลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง จึงสามารถสร้างประโยชน์และความสำเร็จให้เกิดขึ้นระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในการเจริญสัมพันธไมตรีครั้งนั้น
          นอกจากชั้นเชิงลีลาและฝีมือในการทูตแล้ว  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ยังได้นำเอาวิชาความรู้ทางด้านคาถาคงกระพันชาตรีอันเป็นความเชื่อดั้งเดิมของไทยเราแต่สมัยโบราณไปอวดให้เป็นที่ประจักษ์แก่หน้าพระพักตร์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แลทหารฝรั่งเศสทั้งปวงด้วย
          ทั้งนี้ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ได้จัดการให้คนไทย 17 คน แต่งเป็นลูกศิษย์อาจารย์นุ่งขาวห่มขาว  นุ่งเครื่องแต่งตัวที่ลงเลขเสกยันต์พันผ้าต่าง ๆ  นั่งอยู่ที่หน้าพระลาน  แล้วให้ทหารฝรั่งเศสยิงเข้าใส่ ซึ่งด้วยอำนาจคุณของคาถาอาคมและเลขยันต์ต่าง ๆ  นั้น ทำให้ปืนไฟของฝรั่งเศสไม่สามารถจะยิงกระสุนออกได้แม้แต่นัดเดียวหรือกระบอกเดียว  ตามที่เรียกกันว่าปืนด้านนั่นเอง
          ด้วยวิชาอาคมของไทยโบราณในครั้งนั้นทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และทหารชาวฝรั่งเศสถึงกับทึ่งในวิชาโบร่ำโบราณของไทยเป็นยิ่งนัก
          ด้วยเพราะมีปฏิภาณไหวพริบอันปราดเปรื่องลึกซึ้ง  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)  จึงได้รับพระกรุณาอย่างสูงจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  สามารถเข้าเฝ้าและคอยอยู่ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทได้เสมอ และนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) สามารถสังเกตดูความเป็นไปต่าง ๆ  ในราชสำนักได้โดยละเอียดแม้กระทั่งการตกแต่งพระราชอาสน์ของพระมหากษัตริย์  ท่านก็ได้สังเกตการณ์ประดับและการตกแต่งเพชรพลอยทั่วราชอาสน์นั้นด้วย  มิได้เพียงแค่ศึกษาความเป็นไปในการปกครองบ้านเมืองแต่อย่างเดียวเท่านั้น
ภาพวาดเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส
          พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงโปรดเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) อย่างสูง ถึงขนาดพระราชทานนางข้าหลวงชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งให้เป็นภริยาของราชทูตโกษาธิบดี (ปาน) พร้อมทั้งพระราชทานเครื่องแต่งกายแบบฝรั่งเศสกับเพชรพลอยต่าง ๆ  จำนวนหนึ่งให้แก่ราชทูตผู้นี้ด้วย
          เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) พำนักอยู่กินกับภริยาชาวฝรั่งเศสจนกระทั่งได้บุตรชายผู้หนึ่ง ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ทรงขอลูกชายนั้นไว้ด้วย มีพระประสงค์อยากจะได้ทายาทเชื้อสายของราชทูตผู้เฉลียวฉลาดผู้นี้ไว้เลี้ยงดูเป็นที่รักใคร่ต่อไป  ดังนั้น  เมื่ออยู่พำนักที่ฝรั่งเศสครบ 3  ปีเต็ม  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) จึงได้กราบบังคมทูลลาพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และฝากฝังภริยากับบุตรไว้กับราชาแห่งฝรั่งเศสก่อนที่จะเดินทางมุ่งกลับสู่แผ่นดินไทย  ในช่วยปลายปี 2230
          นอกจากความเฉลียวฉลาดเยี่ยงนักปราชญ์ราชทูตแล้ว  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ยังมีจิตใจที่หาญกล้าเด็ดเดี่ยวมิใช่น้อย ท่านได้เคยออกทัพจับศึก และมีชัยชนะในการศึกหลายครั้งหลายครา  เป็นต้นว่า ครั้งที่นำกรุงศรีอยุธยาไปทำสงครามกับพม่าถึงกรุงอังวะนั้น  ท่านก็ได้ชัย และยังได้ปราบปรามหัวเมืองที่ยังกระด้างกระเดื่องต่าง ๆ  ให้สงบราบคาบได้อีกด้วย
          ครั้นเมื่อสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ก็ตกที่นั่งลำบาก  เนื่องจากพระเพทราชานั้นมิได้มีความเป็นมิตรไมตรีกับเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) แต่อย่างเดิม  ทั้ง ๆ  ที่พระเพทราชานั้นก็เรียกมารดาของพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ว่าแม่  แต่ทว่าด้วยความขัดแย้งทางการเมือง เจ้าพระยาโกศาปาน หรือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)  จึงถูกกลุ่มของพระเพทราชาและขุนหลวงสุรศักดิ์จับตัวเอาไปเฆี่ยนตีทำทรมานจนถึงแก่อสัญกรรมในวัยเพียง 40 ปีเท่านั้น..ฯ